
ในยุคที่การขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม Marketplace อย่าง Shopee, Instagram หรือ TikTok Shop ทำให้ธุรกิจออนไลน์มีความได้เปรียบมากขึ้น
และ “การขนส่ง” ก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่แม่ค้าไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าเลือกขนส่งไม่เหมาะสมกับธุรกิจตัวเอง อาจส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น เวลาจัดส่งนาน หรือแม้กระทั่งสร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าที่รอรับพัสดุได้เช่นกัน
ดังนั้น Order Plus (ออร์เดอร์พลัส) จะพาพ่อค้า แม่ค้ามือใหม่จนถึงระดับกลางไปดูเทคนิคในการเลือกบริการขนส่งให้เหมาะสมกับร้านของตัวเอง โดยคำนึงทั้ง ต้นทุน, ความรวดเร็ว, การบริการ, และความครอบคลุมพื้นที่เพื่อให้ “บริการจัดส่ง” กลายเป็นจุดแข็งไม่ใช่จุดอ่อนของคุณ
1. ค่าบริการและโครงสร้างต้นทุน
การส่งพัสดุเป็นหนึ่งในต้นทุนที่ต้องควบคุมหากค่าส่งสูงไปหรือโครงสร้างค่าใช้บริการซับซ้อน อาจกินกำไรมากตามไปด้วย
ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรเปรียบเทียบ ค่าขนส่งทั้งหมดในประเทศไทย ระหว่างผู้ให้บริการ เช่น ไปรษณีย์ไทย, Flash Express, KEX Express, SPX Express, J&T Express, Ninja Van เป็นต้น เพื่อให้ควบคุมต้นทุนและเพิ่มกำไร
คำแนะนำ: เลือกใช้ระบบรวมขนส่งอย่าง Order Plus เพื่อดูราคาทุกเจ้าในที่เดียว
2. ความครอบคลุมพื้นที่จัดส่ง
เดิมทีลูกค้าของทุกร้านไม่ได้อยู่เเค่ในกรุงเทพฯ หรือปริมณฑลเท่านั้น แต่ลูกค้าอาจกระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ ดังนั้นตัวเจ้าของธุรกิจควรเลือกขนส่งที่มีบริการ ส่งพัสดุทั่วประเทศไทย
3. ความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือในการจัดส่ง
ผู้ซื้อจะเกิดความคาดหวังว่า “พัสดุต้องถึงเร็วและตรงเวลา” หากคุณจัดส่งสินค้าล่าช้า อาจส่งผลให้เสียโอกาสในการขาย หรือมีผลต่อรีวิวร้าน
ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรเลือกขนส่งที่ จัดส่งพัสดุได้ทันเวลา และมีประวัติการบริการที่เชื่อถือได้ พร้อมระบบติดตามสถานะพัสดุ (Tracking System)
4.ประเภทสินค้าและบริการพิเศษ (เช่น COD / Door-to-Door / ควบคุมอุณหภูมิ)
คุณสมบัติเพิ่มเติมของแต่ละขนส่งสามารถเป็นตัวกำหนดว่าเหมาะกับร้านคุณหรือไม่ เช่น ร้านขายของสด/แช่เย็นจะต้องใช้บริการขนส่งที่รองรับ “Cold Chain” หากร้านใช้ระบบ COD (เก็บเงินปลายทาง) ก็ควรเลือกบริการที่รองรับ COD และมีเงื่อนไขชัดเจน
ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรเลือกขนส่งตามประเภทสินค้า
5. ระบบการติดตามสถานะพัสดุ / บริการหลังการขาย
การที่ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อ และช่วยลดงานตอบเเชท/ตามพัสดุของตัวเจ้าของธุรกิจเอง
ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรเลือกขนส่งที่มี Online Tracking หรือเลือกใช้ระบบจัดการร้านค้ามาเสริม

แต่ละแพลตฟอร์มการขายของมีลักษณะและความต้องการที่ต่างกัน ดังนั้นควรเลือกบริการขนส่งให้ “ตรงกับ” แพลตฟอร์มนั้น ๆ
สำหรับร้านใน Shopee
มักมีโปรโมชั่นส่งฟรี ข้อได้เปรียบคือสามารถเลือกขนส่งที่เชื่อมต่อกับ Shopee ได้เลย
สำหรับร้านใน Instagram (IG Shop)
ร้านใน IG มักมีลูกค้าที่มี Emotion สูง (ลูกค้าดูภาพ/วีดิโอแล้วสั่ง) ดังนั้น “ความไว” และ “ความชัดเจน” ในการติดตามพัสดุนั้นสำคัญมาก
สำหรับร้านใน TikTok (Shop หรือ Live ขาย)
ร้านที่ขายผ่าน TikTok มักมีออเดอร์จำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ (เช่น Flash Sale) ต้องการขนส่งที่จัดการ Volume ได้ดี



สำหรับเจ้าของธุรกิจในประเทศไทย การเลือกบริษัทขนส่งที่เหมาะสมถือเป็น “หัวใจ” ของการบริการหลังการขายที่ดี ไม่ว่าร้านของคุณจะอยู่บนแพลตฟอร์ม Shopee, IG หรือ TikTok ก็ตามหากเลือกขนส่งได้ตรงกับลักษณะของสินค้า และลูกค้าของคุณ คุณจะได้เปรียบทั้งในเรื่องต้นทุน ความเร็ว และความพึงพอใจของลูกค้าแน่นอน
ดังนั้นการเลือกบริษัทขนส่งที่เหมาะสมถือเป็น “หัวใจ” ของการบริการหลังการขายที่ดี แต่เมื่อร้านของคุณเริ่มเติบโตขึ้น ทั้งการจัดการออเดอร์ การติดตามสถานะพัสดุ และการตอบลูกค้าจากหลายช่องทาง ก็จะเริ่มซับซ้อนตามไปด้วย
นี่คือจุดที่ Order Plus (ออเดอร์พลัส) จะเข้ามาช่วยเสริมได้อย่างลงตัว ด้วยระบบที่รวมทุกการจัดการไว้ในที่เดียวตั้งแต่รวมแชทของลูกค้าไปจนถึง ระบบจัดการออเดอร์ พร้อมการแจ้งเตือนสถานะพัสดุอัตโนมัติช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทำงานง่ายขึ้น ลดความผิดพลาด และดูแลลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ
เพราะเมื่อ “ขนส่งดี + ระบบหลังบ้านดี” = ลูกค้าของคุณก็จะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
อ้างอิง
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

